5 ปัจจัยที่ต้องจับตา เพื่อเริ่มต้นสัปดาห์ลงทุน

1. ยอดค้าปลีกในสหรัฐฯ

ไฮไลท์ของปฏิทินเศรษฐกิจประจำสัปดาห์คือข้อมูลยอดค้าปลีกในเดือนตุลาคม ซึ่งจะออกในวันอังคาร โดยนักเศรษฐศาสตร์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 1.1% หลังจากเพิ่มขึ้น 0.7% ในเดือนกันยายน

อัตราเงินเฟ้อของสหรัฐพุ่งขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบกว่า 30 ปีท่ามกลางวิกฤตห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก และข้อมูลเมื่อวันศุกร์แสดงให้เห็นว่าความเชื่อมั่นของผู้บริโภคลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบทศวรรษในเดือนนี้ เนื่องจากราคาที่สูงขึ้นทำให้ค่าครองชีพทะยาน

นักลงทุนกำลังเดิมพันว่าธนาคารกลางสหรัฐจะต้องขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าที่ระบุไว้ในปัจจุบันเพื่อหยุดเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้น

ปฏิทินเศรษฐกิจยังมีข้อมูลเกี่ยวกับการผลิตภาคอุตสาหกรรมในวันอังคาร รายงานการเริ่มต้นที่อยู่อาศัย และใบอนุญาตก่อสร้างในวันพุธ และตัวเลขรายสัปดาห์ของการขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกในวันพฤหัสบดี

2. รายได้จากการขายปลีก

ฤดูกาลผลประกอบการไตรมาส 3 ยังคงลดลงอย่างต่อเนื่อง แต่นักลงทุนจะได้รับข้อมูลอัปเดตเพิ่มเติมเกี่ยวกับความแข็งแกร่งของการใช้จ่ายของผู้บริโภคในสัปดาห์นี้ พร้อมผลประกอบการจากผู้ค้าปลีกรายใหญ่ รวมถึง Home Depot (NYSE:HD), Walmart, Target ( NYSE:TGT) และร้าน Macy's

รายงานผลประกอบการจะต้องเผชิญกับการประเมินอย่างละเอียดเป็นพิเศษก่อนเริ่มต้นฤดูกาลช็อปปิ้งในช่วงวันหยุด โดยนักลงทุนจะดูคำแนะนำจากผู้ค้าปลีกเพื่อพิจารณาว่าเงินเฟ้อจะส่งผลต่อผลกำไรหรือส่งต่อไปยังผู้บริโภคอย่างไร

ฤดูกาลผลประกอบการไตรมาส 3 ดีขึ้นมาก สำนักข่าวรอยเตอร์สรายงานว่า ณ วันศุกร์ บริษัท 459 แห่งใน S&P 500 ได้รายงานผลประกอบการ โดย 80% ของผลประกอบการเหนือกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้

3. เศรษฐกิจจีนชะลอตัว

การฟื้นตัวของพื้นที่เศรษฐกิจอันดับสองของโลกกำลังอ่อนแอ ข้อมูลในวันจันทร์ ซึ่งรวมถึงรายงานยอดขายปลีก การลงทุนในสินทรัพย์ถาวร และการผลิตภาคอุตสาหกรรม คาดว่าจะยืนยันเรื่องนี้ การสูญเสียโมเมนตัมในจีน ซึ่งเป็นตัวขับเคลื่อนหลักของการเติบโตทั่วโลก กำลังบดบังการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่ไม่สม่ำเสมอจากการระบาดใหญ่

การฟื้นตัวในจีนได้รับผลกระทบจากมาตรการเชิงรุกในการควบคุมการระบาดของโควิด-19 วิกฤตหนี้ครั้งใหญ่ในภาคอสังหาริมทรัพย์ของประเทศ และวิกฤตด้านพลังงานที่ส่งผลกระทบต่อกิจกรรมการผลิต

นักวิเคราะห์คิดว่าธนาคารกลางของประเทศมีแนวโน้มที่จะใช้ความระมัดระวังในการผ่อนคลายนโยบายการเงินเพื่อหนุนเศรษฐกิจ เนื่องจากการเติบโตที่ชะลอตัวประกอบกับความกังวลเรื่องเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้นจากภาวะซบเซา

ในขณะเดียวกัน ประธานาธิบดีโจ ไบเดน แห่งสหรัฐฯ จะจัดการประชุมออนไลน์กับผู้นำจีน สี จิ้นผิง ในวันจันทร์ ท่ามกลางความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นระหว่างสองประเทศ อย่างไรก็ตามสหรัฐฯ ได้มองข้ามความหวังที่จะมีความคืบหน้าใด ๆ ด้านการค้า

4. ข้อมูลงานในสหราชอาณาจักร

ธนาคารกลางอังกฤษ(BoE) ระบุว่าต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับความแข็งแกร่งของตลาดแรงงานในสหราชอาณาจักรก่อนที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เริ่มมีการระบาดใหญ่ ดังนั้นรายงานการจ้างงานล่าสุดในวันอังคารจะอยู่ในความสนใจนักลงทุนอย่างมาก

ข้อมูลตำแหน่งงานในเดือนตุลาคมจะแสดงให้เห็นว่ามีผู้ว่างงานเพิ่มขึ้นหรือไม่หลังจากโครงการเงินช่วยเหลือค่าจ้างในยุคโรคระบาดจะหมดลงในปลายเดือนกันยายน

ข้อมูลตำแหน่งงานจะตามมาด้วยตัวเลขเงินเฟ้อในวันพุธ และตัวเลขยอดขายปลีกในวันศุกร์ ด้วยอัตราเงินเฟ้อที่คาดว่าจะยังคงเร่งตัวขึ้นในขณะนี้ BoE อาจดำเนินการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนธันวาคม ยกเว้นความอ่อนแอที่ไม่คาดคิดในข้อมูลตลาดแรงงาน

5. โควิดระบาดหนักในยุโรป

การระบาดใหญ่ของโควิด-19 กำลังกลับมาในยุโรป ส่งผลให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจในภูมิภาคนี้เปราะบางอยู่แล้ว

มีผู้ติดเชื้อในยุโรปคิดเป็นมากกว่าครึ่งหนึ่งของการติดเชื้อโดยเฉลี่ย 7 วันทั่วโลกและประมาณครึ่งหนึ่งของผู้เสียชีวิตล่าสุด ตามข้อมูลที่รวบรวมโดยสำนักข่าวรอยเตอร์ส ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนเมษายนปีที่แล้ว เป็นช่วงที่ผู้ติดเชื้อเริ่มสูงสุดครั้งแรกในอิตาลี

หลายประเทศ รวมทั้งเนเธอร์แลนด์ เยอรมนี ออสเตรีย และสาธารณรัฐเช็กกำลังใช้การล็อกดาวน์หรือวางแผนมาตรการใหม่เพื่อชะลอการแพร่กระจาย

ฮอลแลนด์เข้าสู่การล็อกดาวน์บางส่วนเป็นเวลาสามสัปดาห์ในวันเสาร์ เป็นครั้งแรกในยุโรปตะวันตกนับตั้งแต่ฤดูร้อน เยอรมนีเปิดตัวชุดตรวจโควิด-19 ฟรีอีกครั้งในวันเสาร์ และออสเตรียจะตัดสินใจในวันอาทิตย์ว่าจะบังคับใช้มาตรการล็อกดาวน์สำหรับผู้ที่ไม่ได้รับวัคซีนหรือไม่